เมนู

3. ตติยเทวสูตร



ว่าด้วยวัตรบท 7



[912] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผ้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ในป่า
มหาวัน กรุงเวสาลี.
ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีพระนามว่ามหาลี เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ครั้นแล้วทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง เมื่อประทับนั่ง ที่ควรส่วนข้างหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ได้ตรัสถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงเห็นท้าวสักกะ
จอมเทพหรือ พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้ที่พระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนมหาลี อาตมาเห็นท้าวสักกะ
จอมเทพ ถวายพร.
ม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ผู้ที่พระองค์ทรงเห็นนั้น จักเป็นรูป
เปรียบของท้าวสักกะเป็นแน่ เพราะว่าท้าวสักกะจอมเทพยากที่ใคร ๆ จะเห็น
ได้ พระพุทธเจ้าข้า.
[913] พ. ดูก่อนมหาลี อาตมารู้จักท้าวสักกะด้วย รู้ธรรมเครื่อง
กระทำให้เป็นท้าวสักกะด้วย และรู้ถึงธรรมที่ท้าวสักกะได้ถึงความเป็นท้าว-
สักกะเพราะเป็นผู้สมาทานธรรมนั้นด้วย ดูก่อนมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อ
ยังเป็นมนุษย์ในกาลก่อน เป็นมาณพชื่อว่ามฆะ เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า
ท้าวมฆวา ดูก่อนมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน
ได้ให้ทานมาก่อน เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า ท้าวปุรินททะ ดูก่อนมหาลี
ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ทานโดยเคารพ

เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า ท้าวสักกะ. ดูก่อนมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยัง
เป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ที่พักอาศัย เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า ท้าว
วาสวะ ดูก่อนมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพย่อมทรงคิดเนื้อความได้ตั้งพันโดย
ครู่เดียว เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า ท้าวสหัสนัยน์ ดูก่อนมหาลี ท้าวสักกะ
จอมเทพทรงมีนางอสุรกัญญานามว่าสุชาเป็นปชาบดี เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า
ท้าวสุชัมบดี ดูก่อนมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเสวยรัชสมบัติเป็นอิสราธิบดีของ
ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า เทวานมินทะ.
[914] ดูก่อนมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ใน
กาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท 7 ประการบริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตร
บท 7 ประการ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ วัตรบท 7 ประการ เป็นไฉน
คือ เราพึงเลี้ยงมารดาบิดาจนตลอดชีวิต 1 เราพึงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่
ในตระกูลตลอดชีวิต 1 เราพึงพูดวาจาอ่อนหวานตลอดชีวิต 1 เราไม่พึงพูด
วาจาส่อเสียดตลอดชีวิต 1 เราพึงมีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทินอยู่
ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควร
แก่การขอ ยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวิต 1 เราพึงพูดคำสัตย์ตลอดชีวิต
1 เราไม่พึงโกรธตลอดชีวิต ถ้าแม้ความโกรธพึงเกิดขึ้นแก่เรา เราพึงกำจัด
มันเสียโดยฉับพลันทีเดียว 1 ดูก่อนมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์
อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท 7 ประการนี้บริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทาน
วัตรบท 7 ประการดังนี้ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ.
[905] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิต
นี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

เทวดาชั้นดาวดึงส์ กล่าวนรชนผู้
เป็นบุคคลเลี้ยงมารดาบิดา มีปกติประพฤติ
อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เจรจา
อ่อนหวาน กล่าวแต่คำสมานมิตรสหาย
ละคำส่อเสียด ประกอบในอุบายเป็นเครื่อง
กำจัดความตระหนิ มีวาจาสัตย์ ครอบงำ
ความโกรธได้ นั้นแลว่า เป็นสัปบุรุษ
ดังนี้.


อรรถกถาตติยเทวสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในตติยเทวสูตรที่ 3 ต่อไปนี้ :-
บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า เจ้ามหาลีลิจฉวีคิดว่า ชนทั้งหลายพูด
กันว่า ท้าวสักกเทวราช เราจักทูลถามความนี้กะพระทศพลว่า ท้าวสักกะมีอยู่
หรือหนอ ผู้ใดเคยเห็นท้าวสักกะนั้นดังนี้ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า ตญฺจ ปชานามิ เป็นเอกพจน์ลงในพหุพจน์. อธิบายว่า เรารู้ธรรม
ทั้งหลายเหล่านั้นด้วย. ได้ยินว่า ท้าวสักกะได้เป็นมาณพชื่อว่ามฆะ ในบ้าน
อจลคามแคว้นมคธในอัตภาพก่อน เป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด. มฆมาณพนั้น
ได้มีจริยาเหมือนจริยาของพระโพธิสัตว์ เขาพาคน 33 คนไปทำกรรมดี.
วันหนึ่ง เขาใคร่ครวญด้วยปัญญาของตน ขนหยากเยื่อออกทั้งสองข้าง ในที่
ที่มหาชนประชุมกันท่ามกลางบ้าน แล้วได้ทำที่นั้นให้เป็นที่น่ารื่นรมย์. เขา
สร้างมณฑป ณ ที่นั้นอีก. เมื่อกาลล่วงไป เขาได้สร้างศาลาอีก. อนึ่ง เขาออก